เวลาทำงานด้าน Network เนี่ย นอกจากเครื่องมือประเภท Notebook หรือ Software สำหรับบริการจัดการแล้วก็ตรวจสอบ Network บางครั้งเราก็ต้องใช้เครื่องมือประเภทอื่นมาทดสอบงานด้านเฉพาะทางต่างๆด้วย เช่น เครื่องทดสอบสาย หรือ เครื่องทดสอบคลื่น Wireless LAN ครับ
แก้ปัญหา LINE (Login ไม่ได้ , Chat ได้ ภาพไม่มาหรือโทร Video Call ไม่ได้) ภายใต้ Network ที่ใช้อุปกรณ์ Mikrotik
เชื่อว่า ปัญหานี้คนทำระบบ Network โดยเฉพาะ Mikrotik นี่น่าจะเจอกันเยอะ ผมเจอปัญหานี้ครั้งแรกประมาณ 2-3 ปีก่อนโดยที่เจอกับ ISP นึงของบ้านเรา และลูกค้าผมที่ใช้ ISP นี้ก็เจอปัญหานี้เกือบทุกเจ้า กว่าจะหาทางแก้ได้ ก็ใช้เวลาอยู่นาน เพราะต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่ข้างเรา แต่มันก็พอจะมีวิธ๊แก้ไขจากข้างเราได้ระดับนึงครับ
Mikrotik Log แจ้งว่ามีคนขอเชื่อมต่อจาก IP 216.218.x.x อยู่ตลอดเวลา เราโดน Hack หรือเปล่า
สำหรับ Network Engineer ที่หมั่นเข้าไปดู Error Log ของระบบ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ Mikrotik เจ้าเดียวนะครับ จะ Cisco , Fortigate , Paloalto , Checkpoint ทุกเจ้าก็เจอเหมือนกันหมด
แจก Script สำหรับ Backup ไฟล์ Config Mikrotik ขึ้น Cloud ของ Mikrotik โดยอัตโนมัติ
ใน Mikrotik RouterOS 6.48.4 และ RouterOS 7rc1 มีการเพิ่มความสามารถ Cloud Backup ขึ้นมาให้เราใช้งานนะครับ โดยที่ความสามารถนี้ จะให้เราสามารถโยน Backup File ของ Mikrotik ขึ้นไปเก็บบน Cloud ของทาง Mikrotik ได้จำนวน 1 ไฟล์ด้วยกัน
Band Steering คืออะไร และทำงานยังไง
เล่าเรื่องระบบจ่ายไฟผ่านสาย LAN (PoE) แบบเข้าใจง่าย
ระบบจ่ายไฟฟ้าผ่านสาย LAN หรือ Power Over Ethernet มีออกแบบเป็น Standard มาหลายปีแล้ว บ้านเราก็ใช้งานกันเยอะแยะ แต่อาจจะมีหลายคนงงว่าทำไมมันมีสารพัดชื่อเรียกเลย ผมเลยสรุป PoE ออกมาให้เห็นเป็นรูปแบบง่ายๆแบบนี้ครับ
PoE คืออะไร?

มาตรฐานการจ่ายไฟฟ้าผ่านสาย LAN … โดยที่มีอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ (ส่วนใหญ่จะเป็น Network Switch) และ อุปกรณ์รับไฟที่ปลายทาง เช่น Access Point , IP Phone , IP Camera , FingerScan และอื่นๆอีกมากมาย
ทำไมอุปกรณ์ Network ต้องใช้ PoE ด้วยล่ะ?
- ประหยัดเวลาและงบประมาณในการติดตั้งอุปกรณ์ เวลาเราติดตั้งอุปกรณ์บางอย่าง เช่น Access Point หรือ กล้องวงจรปิด คือ นอกจากคุณเดินสาย LAN ไปเชื่อม Network มันแล้ว การเดินสายไฟไปเพิ่มอีกเส้น ก็หมายถึงงานที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ถ้าจ่ายไฟผ่านสาย LAN ได้เพื่อให้อุปกรณ์ปลายทางทำงานได้เลย ย่อมสะดวกและประหยัดเวลากว่า
- ดูแลระบบไฟฟ้าจากส่วนกลางที่เดียวพอ เพราะเรามีโอกาสที่จะเจอ ไฟตก หรือไฟกระชากใส่อุปกรณ์ที่เราใช้งานได้ ดังนั้นการดูแลระบบไฟฟ้า ไม่ให้มีไฟกระชาก (ติด Surge Protection) หรือไฟตก (ใส่ UPS เสริมเพื่อดันไฟขึ้น) จะช่วยให้อุปกรณ์เราไม่เสียหายได้ แต่จะให้มี UPS ทุกๆ Access Point หรือกล้องทุกตัว มันคงจะประสาทน่าดู ดังนั้น ถ้าเราทำไฟฟ้าที่ส่วนกลางให้ดี แล้วจ่ายไฟผ่าน Network Switch ไปถึงอุปกรณ์ปลายทางได้ ก็ดูแลแค่ตรงนั้นพอครับ
- สามารถ Reboot อุปกรณ์จากฝั่ง Network Switch ได้ โดยที่ไม่ต้องปีนขึ้นไปจัดการกับอุปกรณ์ ถ้าจะให้ปีนเสาไฟขึ้นไป Reboot กล้องทุกครั้งที่กล้อง Hang จะเอาไหมล่ะครับ แต่ด้วยระบบ PoE ผมสามารถสั่งจาก Network Switch หรือ ถอดสาย LAN จากต้นทางเอาก็ได้ครับ แค่นี้ก็ reboot แล้ว
ระบบการจ่ายไฟผ่าน PoE มีกี่แบบ
มี 2 แบบครับ คือ Active กับ Passive
- แบบ Passive จะจ่ายไฟใส่ทันที ที่เสียบสายเข้าไป ถ้าอุปกรณ์ปลายทาง ไม่รองรับการจ่ายไฟ ก็อาจจะเสียหายได้ครับ
- แบบ Active จะมีการจ่ายไฟอ่อนๆประมาณ 5v เข้าไปยังอุปกรณ์ปลายทางก่อน ถ้าอุปกรณ์ปลายทางตอบกลับมา ก็ค่อยจ่ายไฟตามมาตรฐานจริงๆ ที่ Network Switch มันจ่ายไฟได้เข้าไปได้ครับ
เราสามารถต่อ PoE ได้แบบไหนบ้าง

ภาพแรกคือท่าปกติ ตัว Network Switch รองรับ PoE ส่ง Data + Power ไปยัง อุปกรณ์ปลายทางที่รองรับ PoE ก็เสียบสายตรงๆ อุปกรณ์ก็จะทำงานขึ้นมาตามปกตินะครับ
ภาพที่ 2 ก็คือ เรามี Network Switch ที่ไม่มีระบบ PoE เลยใช้อุปกรณ์ที่ชื่อ PoE Injector มารับไฟจากปลั๊กไฟ และรับ Data จาก Network Switch แล้วรวมสองอย่างเข้าด้วยกัน ไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่รองรับ PoE ครับ (บ้านเราใช้ท่านี้กันเยอะครับ)
ภาพที่ 3 ก็คือตัว Switch เป็น PoE Switch ส่ง Data + Power แต่อุปกรณ์ปลายทาง ไม่รองรับการใช้งาน PoE เลยต้องใช้อุปกรณ์ PoE Splitter แยก Data กับ Power ออกจากกัน แล้วเสียบเข้ากับอุปกรณ์ปลายทางครับ
ภาพที่ 4 นี่ก็พิศดารสุดๆเลยล่ะ คือทั้งอุปกรณ์ต้นทาง และ อุปกรณ์ปลายทาง ไม่มี PoE เลยทั้งคู่ ฝั่งต้นทาง ใช้ PoE Injector ในการรวม Data กับ Power เข้าด้วยกัน พอถึงปลายทาง ก็ใช้ PoE Splitter แยก Power กับ Data ออกจากกัน แล้วก็จิ้มสายใส่อุปกรณ์
ภาพที่คุ้นเคยที่สุด ก็คือ ภาพที่ 1 กับ 2 แหละครับ แบบ 3,4 นี่ผมไม่ค่อยเห็นแล้ว
มาตรฐานของ PoE มีอะไรบ้าง

ปัจจุบันมาตรฐานของ PoE มีอยู่ 3 Standard นั่นก็คือ
IEEE802.3af หรือเรียกอีกอย่างว่า PoE เฉยๆ จะมีกำลังไฟต่อ Port ไม่เกิน 15.4 Watts และแรงดันไฟฟ้าไม้เกิน 48V
IEEE802.3at หรือเรียกอีกอย่างว่า PoE+ จะมีกำลังไฟต่อ Port ไม่เกิน 30Watt และแรงดันไฟฟ้าไม้เกิน 57V
IEEE802.3bt หรือที่มีอีกชื่อว่า PoE++ มีหลาย Class ด้วยกันครับ แต่หลักๆก็จ่ายกำลังไฟต่อ Port 60 – 95 Watts และ แรงดันไฟฟ้า ไม่เกิน 57V เช่นเดียวกัน
การดู Spec อุปกรณ์ Switch PoE

สิ่งที่จะต้องดูก็คือ
- Switch ตัวนี้รองรับ Standard อะไรบ้าง เช่น PoE,PoE+,PoE++
- Switch ตัวนี้ จ่ายไฟกี่ Port เพราะมันมีนะครับ Switch PoE 24 Port แต่จ่ายไฟแค่ 16 Port อะไรแบบนี้
- Switch ตัวนี้ มี Power Budget เท่าไหร่ ตอนนี้ เช่น Aruba 1930 InstantOn Series ตัวนี้ แบบ 24 Port จะจ่ายไฟได้ 195 Watts และแบบ 48 Port จะจ่ายไฟได้ 370 Watts (ตรงนี้ แล้วแต่รุ่น แล้วแต่ยี่ห้อเลยครับ ต้องศึกษาเรื่อง Power Budget ดีๆนะครับ เพราะถ้าเกิดอุปกรณ์ปลายทางกินไฟมาก ก็จะทำให้จำนวน Port ที่เราใช้งานได้น้อยลงไปอีก)
ส่วนอุปกรณ์ปลายทาง ก็ต้องดูว่า มันรับไฟแบบ Active PoE หรือ Passive PoE ครับ เพราะเราเอามันมาใช้ข้ามระบบไม่ได้นะครับ แต่ก็มีอุปกรณ์บางยี่ห้อ ที่สามารถจ่ายไฟได้ 2 ระบบ คือจ่ายไฟแบบ Active หรือ Passive ก็ได้ แบบนี้ปลายทางเป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้า Switch PoE เป็น Active แล้วปลายทางเป็น Passive เสียบไปก็บูทไม่ขึ้นนะครับ และกลับกัน ถ้า Switch จ่ายไฟแบบ Passive แล้วอุปกรณ์ปลายทางเป็น Active เสียบแล้วก็ไม่ขึ้นเหมือนกัน
เกร็ดความรู้ในการใช้งาน PoE
- อุปกรณ์จ่ายไฟ PoE ที่ Standard ใหญ่กว่า จะรองรับรุ่นที่เล็กกว่าโดยอัตโนมัติ เช่น Switch ที่จ่ายไฟมาตรฐาน PoE+ จะเอาอุปกรณ์ปลายทางแบบ PoE+ หรือ PoE เฉยๆ ก็สามารถทำงานได้
- Network Switch ที่จ่ายไฟได้ นอกจากดูที่ Standard ที่มันจ่ายไฟได้แล้ว ต้องดูสิ่งที่เรียกว่า Power Budget ด้วย เช่น Switch PoE 8 Port จ่ายไฟได้ 60watt แปลว่า ถ้าเอาอุปกรณ์ PoE เฉยๆมาเสียบ จะใช้งานได้ 4 ตัว แต่ถ้าเอา PoE+ มาเสียบอาจจะเหลือ 2 ตัว
- อุปกรณ์บางตัว ตอนใช้งานกินไฟไม่เท่ากัน เช่น กล้อง CCTV ตอนเวลาปกติ อาจจะกินไฟแค่ 5-10 Watt แต่พอเปิด Infrared ที่ใช้ตอนกลางคืนอาจจะกินไฟเพิ่มมากกว่าเดิม แล้วทำให้เราประเมิน Power Budget ตอนซื้ออุปกรณ์ผิด ผลก็คือ กล้องจะติดๆดับๆ ตอนกลางคืน เพราะไฟไม่พอ
- อุปกรณ์แบบ PoE++ สามารถจ่ายไฟได้ 2 Step เช่น จ่ายไฟไปบูท PoE Switch แล้วมีไฟให้ PoE Switch ตัวนั้น ไปจ่ายไฟให้ กล้องอีกที โดยที่ Switch ตัวที่สองไม่ต้องเสียบไฟเพิ่มเลย
- ระบบ PoE จำเป็นที่จะต้องใช้ สาย LAN และ หัว LAN ที่ได้มาตรฐาน สายห่วยๆบางรุ่น นำไฟฟ้าไม่ได้ ต่อให้จ่ายไฟไปได้ แต่ปลายทางไฟก็ไม่ถึง ทำให้อุปกรณ์ปลายทางติดๆดับ เหมือนกัน
อุปกรณ์ Network ปลายทางหลายชิ้น พยายามเปลี่ยนตัวเองมาใช้ระบบ PoE มากขึ้น แนะนำให้ศึกษาเรื่องนี้เยอะๆ จะทำให้เราสะดวกในการทำระบบมากเลยครับ
การทำ Snapshot Replication บน Synology เพื่อป้องกัน Ransomware
สวัสดีครับ อาจารย์ศุภเดช ครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ Ransomware ระบาดกันหนักอีกแล้ว ซึ่งต่อให้เราป้องกัน Ransomware ได้ดีแค่ไหน มันก็โดนได้อยู่ดี เพราะส่วนใหญ่ Ransomware มันเข้ามาทางความเผลอเรอของคนที่ไม่ระมัดระวัง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือ Ransomware ก็คือ การ Backup ครับ
ถ้าเรา Backup ได้ครบถ้วน ถูกต้อง และเหมาะสม ต่อให้ Ransomware แทะข้อมูลเราหมดเกลี้ยงก็ไม่ต้องไปจ่ายมัน เพราะเราสามารถ Restore กลับคืนมาได้นั่นเองครับ
RouterOS 7.1rc กับ ความสามารถที่ทำชวนให้อัพเกรด ถึงแม้ว่าจะเป็นสถานะ Testing
สำหรับคนที่ใช้งาน อุปกรณ์ Network ของ Mikrotik จะพบว่า เราใช้งาน RouterOS เวอร์ชั่น 6 กันมานานมากแล้ว และหลายๆคนก็รอเจ้า RouterOS เวอร์ชั่น 7 ที่เรียกได้ว่า ประมาณ 3 ปีแล้วก็ไม่ออกเสียที
การตั้งค่าระบบ Auto Backup ที่อยู่ใน UNIFI Controller

สำหรับคนที่ใช้งานอุปกรณ์ UNIFI เราจะต้องควบคุมทุกอุปกรณ์ทุกอย่างผ่านอุปกรณ์ UNIFI Controller ซึ่งเมื่อเราใช้งานไปอย่างต่อเนื่องและมีการเพิ่มอุปกรณ์ขึ้นเรื่อยๆ เราจึงควรจะหมั่น Backup อย่างสม่ำเสมอเผื่อ UNIFI Controller ของเรามีปัญหา จะได้กู้เวอร์ชั่นล่าสุดมาได้ เวลาเกิดปัญหาจะได้เอาตัวรอดได้นะครับ
มีคนสอบถามมา ว่า UNIFI Controller ล่ม แล้วเค้าจะสามารถกู้ระบบยังไงได้บ้าง ซึ่ง UNIFI Controller เองจะมีระบบ Auto Backup เปิดเป็นค่า Default อยู่แล้ว โดยที่ค่า Default จะเก็บ Backup ทุกๆ 30 วัน และจะเก็บย้อนหลัง ทั้งหมด 7 ไฟล์ พูดง่ายๆก็คือ ย้อนหลังได้ 7 เดือนนั่นเองครับ
แต่ระบบ Auto Backup ก็ควรจะปรับให้มันเก็บตามเวลาอย่างเหมาะสม ถ้าคุณมีอุปกรณ์ในระบบเยอะๆ เช่น AP หรือ Switch หลายๆตัวและมีการทำพวก VLAN บ่อยๆ ควรจะเก็บให้ถี่กว่านั้น เช่น อาทิตย์ละครั้ง
หรือถ้าใครทำระบบ Hotspot เพื่อให้บริการลูกค้าด้วย ควรจะเก็บถี่ระดับหลัก วันละครั้งไปเลย เพื่อให้ข้อมูล Backup มัน Update ที่สุดนะครับ
ส่วนเวอร์ชั่นย้อนหลังว่าจะเก็บกี่เวอร์ชั่นย้อนหลัง อันนี้ก็แล้วแต่ Storage ที่เราใช้งาน รวมไปถึง คุณมีการเก็บ Statistic ของระบบมาวิเคราะห์ด้วยหรือเปล่า เพราะถ้าคุณเก็บ Stat ด้วย ไฟล์ Backup แต่ละไฟล์จะใหญ่หลัก 100-200MB เลยครับ
แต่ถ้ามีแต่ Config ขนาดก็จะประมาณ 100-200k ครับผม
ดังนั้น ถ้าคุณ เปิด Stat และ คุณมีการทำ Hotspot เอาไว้ คุณจะต้องสำรองพื้นที่ให้การ Backup ให้เยอะกว่าปกตินั่นเองครับ ซึ่งจะสอดคล้องกับ Storage ที่คุณมีด้วย
โดยทั่วๆไป ผมใช้เก็บแบบรายวัน และเก็บย้อนหลัง 7 วัน
ที่ผมเลือกเก็บ 7 วันก็เพราะว่า บางครั้ง ไฟล์ Backup มันเสีย Restore ไม่ผ่าน เลยต้องมี Backup ไว้หลายๆชุด กันเหนียวไว้ซักหน่อย
ระบบ Auto Backup จะอยู่ใน UNIFI Controller ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Software ติดตั้งลงบน Windows,Linux รวมไปถึง Cloudkey ทั้ง Gen1 และ Gen2
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ Folder สำหรับเก็บไฟล์ autobackup นะครับ
Cloudkey Gen1 จะอยู่ใน Micro SD Card ที่เก็บไว้บนเครื่อง และถ้าคุณจะ ssh เข้าไปเพื่อดูดไฟล์ออกมาผ่าน Network ตัวไฟล์จะอยู่ที่ Path /data/autobackup ครับ
สำหรับ Cloudkey Gen2 จะมี Storage ในเครื่อง ทำให้คุณแกะ Storage ออกมาเพื่อก็อปไฟล์ Backup ออกมาไม่ได้ แต่คุณก็สามารถ ssh เข้าไปเอาไฟล์ได้ครับ โดยที่ Cloudkey Gen2 จะเก็บเอาไว้ที่ Path /srv/unifi/data/backup/autobackup/ ครับ
สำหรับ คนที่ใช้ Linux เป็น UNIFI Controller ตัวไฟล์จะถูกเก็บไว้ที่ Path /var/lib/unifi/backup/autobackup/
สำหรับ UNIFI Controller บน Windows จะถูกเก็บไว้ที่ Path ดังต่อไปนี้ครับ
C:\Users[UserName who installed the application]\Ubiquiti UniFi\data\backup\autobackup
ไฟล์ Backup จะมีนามสกุล .unf ถ้าบน Linux หรือ Cloudkey แล้วหา Path ไม่เจอ ลองใช้คำสั่ง

find / -name *.unf เพื่อค้นหาไฟล์ ในเครื่องดู บางทีมันอาจจะอยู่ที่ Path อื่นก็เป็นได้ครับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้า UNIFI Controller ล่ม ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แล้วคุณไป Format Disk มันทิ้ง หรือ Reset Cloudkey กลับสู่ Default Config ตัวไฟล์ Backup มันจะหายไปนะครับ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องหมั่นเข้าไปดูด File Backup ออกมาเก็บไว้ข้างนอกเสมอ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่าง Cloudkey Firmware เจ๊ง
สำหรับ Cloudkey Gen1 อาจจะโชคดีที่มี SD Card ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการ Reset Default ของ Cloudkey แต่ SDCard เองก็ไม่ได้น่าเชื่อถือมากนัก การ์ดเจ๊งนี่ผมเจอมามากเลยทีเดียว
และ สำหรับคนที่ใช้ Cloudkey Gen2 และ UNIFI Dream Machine ที่เป็น Firmware 6.1.6 ขึ้นไป ทาง UNIFI มี Cloud Backup ให้ใช้งานด้วยครับ

หวังว่าข้อมูลตรงนี้จะช่วย กู้ชีพให้คนที่ใช้งาน UNIFI Controller ได้นะครับ
#เรื่องเล่าหลังตู้แร็ค – เจอปัญหา Access Point หลอน ไม่ได้มีใครใช้งาน แต่ความเร็วตกเหลือ 20Mbps
เฮ้ย มันชักทะแม่งๆแล้ว



